ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นปราสาทหินที่สร้างขึ้นโดยอาณาจักรขอมโบราณ แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศาสนา สถาปัตยกรรม และการขยายตัวของชุมชนโบราณในอดีต โดยดูจากหินทรายสีชมพู ที่ใช้ในการก่อสร้าง และสถาปัตยกรรมที่งดงาม และชาญฉลาดมาก (วางแนวประตูของปราสาทให้ตรงกัน 15 ประตู เพื่อให้พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ ตกทะลุ 15 ช่องประตู )
ปราสาทหินพนมรุ้ง ตั้งอยู่บนปากปล่องของภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วมีอายุถึง 900,000 ปี หลายคนคงยังไม่เคยรู้ว่าในประเทศไทยก็มี "ภูเขาไฟ" แต่เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วทุกแห่ง คงเหลือไว้แต่ร่องรอยของภูเขาไฟในอดีตให้พวกเราได้ศึกษาเท่านั้น
การสร้างปราสาทหินพนมรุ้ง ประกอบกับความเชื่อ เชื่อในศาสนาฮินดูที่เปรียบปราสาทหินดั่งเทวาลัยของเทพเจ้าบนยอดเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางแห่งจักรวาล ชุมชนที่เขาพนมรุ้งจึงเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากดินภูเขาไฟจะเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์มาก เหมาะทำแก่การทำเกษตร ทำให้คนในยุคโบราณ ย้ายมาตั้งถิ่นฐานกัน ดูได้จาก"บาราย" หรือ "อ่างเก็บน้ำ" ใช้ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของ ปากปล่องภูเขาไฟเดิมเป็นอ่างเก็บน้ำอยู่บนเขาอยู่แล้ว ที่เชิงเขายังมีบารายอีก 2 สระ คือสระน้ำหนองบัวบารายที่เชิงเขาพนมรุ้ง และสระน้ำโคกเมืองใกล้ปราสาทเมืองต่ำ สระน้ำบนพื้นราบเบื้องล่างเขาพนมรุ้งนี้รับน้ำมาจากธารน้ำ ที่ไหลมาจากบนเขา นอกจากนี้ยังมีกุฏิฤาษีอยู่ 2 หลัง เป็นอโรคยาศาลที่รักษาพยาบาลของชุมชนอยู่เชิงเขาด้วย
ดิฉันจึงขอนำเสนอ การท่องเที่ยวเขาพนมรุ้ง ด้วยกัน 2 เรื่อง
ปราสาทิหนพนมรุ้ง หรือ ปราสาทพนมรุ้ง ตั้งอยู่ในเขตตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์
กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนปราสาทหินพนมรุ้งเป็นโบราณสถานของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2475 ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 ต่อมาได้ดำเนินการบูรณะตั้งปี พ.ศ. 2514 จนเสร็จสมบูรณ์ มีการพัฒนาและปรับปรุงดำเนินการเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2531
ปราสาทหินพนมรุ้งมีความโดดเด่นในด้าน
- การวางผังที่สัมพันธ์กับภูมิประเทศ ตั้งบนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว และสร้างปราสาทด้วยหินทรายสีชมพู
- การตกแต่งด้วยภาพจำหลักหินที่ทับหลังและหน้าบัน ด้วยภาพแกะสลักลวดลายรูปเทพเจ้าและเรื่องราวทางศาสนา งดงามมาก นับเป็นโบราณสถานฝีมือระดับหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าในยุคนั้น มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากของอาณาจักรขอมโบราณ ที่งดงาม อ่อนช้อย แข็งแรงทรงพลัง ไปพร้อมๆ กันเป็นเอกลักษณ์ของปราสาทหินสีชมพูแห่งนี้ งดงามด้วยฝีมือช่าง และยังเผยให้เราได้รู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นเทวสถานของพระศิวะ ภาพพิธีกรรมต่างๆและภาพเรื่องราวจากมหากาพย์ของอินเดียคือรามายณะและมหาภารตะ เป็นต้น
- ปราสาทหินพนมรุ้งได้รับการบูรณะด้วยกรรมวิธีอนัสติโลซิส เป็นการบูรณะโบราณสถานโดยทำสัญลักษณ์ของชิ้นส่วนต่างๆก่อนจะรื้ออกเพื่อเสริมรากฐาน และนำชิ้นส่วนต่างๆมาประกอบขึ้นใหม่ตามเดิม วิธีการเช่นนี้ใช้กับปราสาทหินหลายแห่ง เช่นปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมวัน เป็นต้น
- ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 (เมษายน) ของทุกปีมีงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง เป็นงานใหญ่ประจำปี "พระอาทิตย์ขึ้นและตกทะลุ 15 ช่องประตู" ทุกๆ ปี จะมีปรากฎการณ์นี้ 4 ครั้ง ด้วยกัน ในวันนั้นชาวบ้านจะเดินเท้าขึ้นมาเพื่อชมความอลังการที่ผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างของบรรพชน
|
ภาพถ่ายทางอากาศปราสาทหินพนมรุ้ง |
ประวัติความเป็นมา
พ.ศ. 1487-1511 |
พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 3 กษัตริย์แห่งพระนคร ได้สถาปนาเขาพนมรุ้งให้เป็นเทวสถาน ถวายพระศิวะ
|
พ.ศ. 1511-1544
|
พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ได้ทรงอุทิศที่ดินและข้าทาสถวายแด่เทวสถานพนมรุ้ง
|
พุทธศตวรรษที่ 17
|
พระนเรนทราทิตย์ เจ้านายแห่งราชวงศ์มหิธรปุระที่ปกครองดินแดนแถบนี้ (เป็นต้นตระกูลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด) ได้สร้างปราสาทหินเขาพนมรุ้งขึ้น และได้ทรงบำเพ็ญพรตเป็นโยคี
|
พุทธศตวรรษที่ 18
|
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นวัดมหายาน
|
การก่อสร้างปราสาทหินพนมรุ้ง แบ่งออกเป็น 4 สมัย
- ส่วนที่เก่าที่สุดคือปราสาทอิฐ จำนวน 2 หลัง สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 15 ตรงกับศิลปะแบบเกาะแกร์
- ปราสาทน้อย สร้างราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ตรงกับศิลปะแบบบาปวน
- สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่บนศาสนสถานแห่งนี้ มีปราสาทหลังใหญ่เป็นประธานสร้างราวปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ตรงกับศิลปะแบบนครวัด
- บรรณาลัย 2 หลัง สร้างราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ตรงกับศิลปะแบบบายน
สถาปัตยกรรมและโบราณสถาน
บริเวณปราสาทหินพนมรุ้งเดิมเป็นอาณาจักรของขอมโบราณ ชุมชนขอมในอดีตนับถือศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย นิกายปศุปตะ ที่นับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด ดังนั้นสถาปัตยกรรมของปราสาทหินพนมรุ้งจึงถูกออกแบบให้สัมพันธ์กับความเชื่อของคนในศาสนาฮินดู
องค์ประกอบและแผนผังของปราสาทหินพนมรุ้ง ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง และเน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง โดยปราสาทประธาน จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
|
แผนผังปราสาทหินพนมรุ้ง |
แผนผังปราสาทหินพนมรุ้ง
เรามาเริ่มเดินทางขึ้นสู่ปราสาทหินพนมรุ้งกันเลยคะ ทางที่เราใช้ จะเริ่มที่ประตู 2 ของอุทยานประวัติศาตร์พนมรุ้ง
1. พลับพลาเปลื้องเครื่อง
จะอยู่ทางด้านขวาของบันไดทางขึ้นสู่ศาสนสถาน มีอาคารโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศใต้ อาคารนี้เดิมเรียกว่า “
โรงช้างเผือก” แต่ในปัจจุบันเรียกว่า "
พลับพลาเปลื้องเครื่อง" บนฐานพลับพลามีเสาหิน 8 ต้น ด้านข้างของอาคารมีระเบียงลักษณะเป็นห้องแคบยาวต่อเนื่องกัน มีมุขยื่นออกมา มีชาลาสำหรับขึ้นลง อยู่หน้ามุขรอบอาคาร 3 สันนิษฐานว่าใช้เป็นที่พักจัดเตรียมพระองค์ สำหรับกษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูงที่เสด็จมาสักการะเทพเจ้าหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
|
พลับพลาเปลื้องเครื่อง |
2. กระถางรูปดอกบัวแปดกลีบ
ถัดจากนั้นจะเป็นกระถางรูปดอกบัวแปดกลีบ เป็นที่สำหรับบูชาเทพประจำทิศทั้งแปด ในศาสนาฮินดู
3. เสานางเรียง
ทางดำเนิน คือ ทางเดิน ที่ทั้งสองข้างประดับด้วยเสามียอดคล้ายดอกบัวตูม เรียกว่า "เสานางเรียง" มีจำนวนข้างละ 34 ต้นทอดตัวไปยังสะพานนาคราช
|
กระถางรูปดอกบัวแปดกลีบ และทางเดิน เสานางเรียง |
4. สะพานนาคราช
สะพานนาคราชขั้นที่ 1 ก่อสร้างด้วยหินทราย ผังเป็นรูปกากบาทยกพื้นสูง ราวสะพานทำเป็นลำตัวพญานาค 5 เศียร หันหน้าออกแผ่พังพานทั้ง 4 ทิศ พญานาคมีรัศมีเป็นแผ่นสลักลายในแนวนอน อันเป็นลักษณะศิลปกรรม แบบนครวัด อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17
จุดกึ่งกลางสะพานนาคราช สลักลายเส้นเป็นรูปดอกบัวบานแปดกลีบ อาจหมายถึงเทพประจำทิศทั้งแปดในศาสนาฮินดู หรือเป็นยันต์สำหรับบวงสรวงสะพานนาคราช มีความหมายเชิงสัญลักษณ์เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ จากสะพานนาคราชขั้นที่ 1 มีบันไดจำนวน 52 ขั้น ขึ้นไปยังลานบนยอดเขาพนมรุ้ง
สะพานนาคราช จะมี 3 ชั้นด้วยกัน
- ชั้นที่ 1 เป็นจุดเชื่อมทางดำเนินเสานางเรียง กับบันไดทางขึ้นปราสาทไปปราสาทหินพนมรุ้ง และทางลงสู่สระน้ำปากปล่องภูเขาไฟ
- ชั้นที่ 2 เป็นจุดเชื่อมทางเดินกากบาท กับ ระเบียงคดทิศตะวันออก
- ชั้นที่ 3 เป็นจุดซุ้มประตูกลางของระเบียงคดชั้นในกับมณฑปปราสาทประธาน
|
สะพานนาคราช ชั้นที่ 1 (มองจากด้านบนลงมา)
|
|
สะพานนาคราช ชั้นที่ 1
|
|
พญานาคราช |
ภาพลายเส้นรูปดอกบัวบานแปดกลีบ
สิ่งที่น่าสนใจคือ จุดกึ่งกลางสะพานนาคราช มี ภาพลายเส้นรูปดอกบัวบานแปดกลีบ สันนิษฐานว่าอาจเป็นการจำลองผังของจักรวาล กลีบทั้งแปด คือ ทิศหลักสี่ทิศและทิศเฉียงสี่ทิศ หรืออาจจะถือได้ว่าตั้งแต่ดอกบัวแปดกลีบนี้ ขึ้นไปสู่ศาสนสถานอันสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ ณ ทิศเบื้องบนนั้นมีแต่ความบริสุทธิ์ และความเป็นสิริมงคลทั้งสิ้น
|
ภาพลายเส้นดอกบัวบานแปดกลีบ |
5. ทางเดินกากบาท
อยู่หน้าระเบียงคดด้านทิศตะวันออก มีทางเดิน ลักษณะเป็นยกพื้นเตี้ยๆ รูปกากบาทก่อด้วยศิลาแลง ผังรูปกากบาทนี้ ทำให้เกิดช่องทางเดิน เหมือนเครื่องหมายกากบาท ( + ) และช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ 4 ช่อง ในปัจจุบันได้ดัดแปลงช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ทั้ง 4 อัน ไปเป็นสระน้ำสำหรับปลูกบัว
|
ทางเดินกากบาท |
6. ระเบียงคด
ที่หน้าซุ้มประตูระเบียงคดทิศตะวันออก มีสะพานนาคราชขั้นที่ 2 ระเบียงคดก่อเป็นตัวห้องยาวต่อเนื่องกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารอบลานปราสาทหินพนมรุ้ง
แต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เพราะมีผนังกั้นเป็นช่วงๆ มีซุ้มประตูอยู่กึ่งกลางของแต่ละด้าน ที่มุมระเบียงคดทำเป็นซุ้มกากบาท
ก่อนถึงตัวปราสาทประธานมี
ระเบียงคดล้อมเป็นกำแพงชั้นใน ก่อเป็นห้องยาวต่อเนื่องกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้เพราะมีผนังกั้นเป็นช่วง ๆ กึ่งกลางระเบียงคด มี
ซุ้มประตู หรือ
โคปุระ ทั้ง 4 ด้าน ผนังด้านนอกมีหน้าต่างหลอกทั้ง 4 ด้าน หน้าบันของระเบียงคดด้านทิศตะวันออกเป็นภาพฤาษี สันนิษฐานว่าหมายถึงพระศิวะในปางผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และอาจหมายรวมถึง นเรนทราทิตย์ผู้สร้างปราสาทหินพนมรุ้งแห่งนี้ด้วย
|
ซุ้มประตูระเบียงคด ทิศตะวันออก |
|
สะพานนาคราชขั้นที่ 2 หน้าระเบียงคดทิศตะวันออก |
สะพานนาคราชชั้นที่ 2 มีผังและรูปแบบเหมือนกับสะพานนาคราชชั้นที่ 1 แต่มีขนาดเล็กกว่า ตรงกลางของสะพานมีภาพสลักรูปดอกบัวบานแปดกลีบเช่นเดียวกัน
ที่หน้าบันของระเบียงคดทิศตะวันออกด้านนอกมีภาพจำหลักรูปฤาษี หมายถึงพระศิวะในปางที่เป็นผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และอาจหมายรวมถึงพระนเรนทราทิตย์ ผู้ก่อสร้างปราสาทประธานปราสาทหินพนมรุ้งด้วย
|
ภาพจำหลักรูปฤาษี |
7. ปราสาทประธาน
ปราสาทประธานนี้เชื่อว่าสร้างโดยนเรนทราทิตย์อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 ตั้งอยู่ตรงกลางของศาสนสถาน
ก่อสร้างด้วยหินทรายสีชมพู มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม กว้าง 8.20 เมตรสูง 27 เมตร
มีมุขยื่นออกมา 3 ด้าน
ทางด้านหน้าทิศตะวันออกมีห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียกว่า มณฑป
โดยมี "อันตราละ" หรือ "ฉนวน" เชื่อมปราสาทประธานนี้ ภายในเรือนธาตุตรงกึ่งกลางมีห้อง เรียกว่า "
ครรภคฤหะ" เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่สำคัญที่สุด คือ
ศิวลึงค์ ซึ่งแทนองค์พระศิวะ ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง
ท่อโสมสูตร คือร่องน้ำมนต์ที่ใช้รับน้ำสรงจากการสักการะศิวะลึงค์
ปราสาทประธานตกแต่งลวดลายจำหลักประดับตามส่วนต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นภาพเล่าเรื่องเทพเจ้าในศาสนาฮินดูเช่น หน้าบันภาพศิวนาฏราช (ทรงฟ้อนรำ) ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ภาพในวรรณคดีอินเดียเรื่อง รามายณะ (รามเกียรติ์) มหาภารตะ ภาพพิธีกรรม ภาพชีวิตประจำวันของฤาษี เป็นต้น
|
ปราสาทประธาน ประตูทิศตะวันออก |
|
ปราสาทประธาน ประตูทิศตะวันออก และสะพานนาคราช ชั้นที่ 3 |
สะพานนาคราช ชั้น 3 เชื่อมระหว่างซุ้มประตูกลางของระเบียงคดชั้นในกับมณฑปปราสาทประธานมีลักษณะเหมือนกับสะพานนาคราชชั้นที่ 1 และ 2 แต่เล็กกว่า
พระศิวะร่ายรำ
ภาพแกะสลักบนซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก ของปราสาทประธาน อยู่เหนือ ภาพแกะสลักพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ จะเป็นภาพแกะสลักพระศิวะร่ายรำ หรือ พระศิวนาฏราช (ทรงฟ้อนรำ)
|
พระศิวะร่ายรำ |
8. พระนารายณ์บรรทมสินธุ์
จะประดับอยู่บนซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก ของปราสาทประธาน
ทับหลังพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่เคยสูญหายไป และได้เจอที่สถาบันศิลปะ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา (The Art Institute of Chicago) ได้มีการติดตามทวงคืน ทั้งจากภาครัฐ และประชาชนชาวไทย มีการแต่งเพลงโดย คุณแอ๊คคาราบาว ได้แต่งเพลง "ทับหลัง" มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การขอทับหลังพระนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนจากสหรัฐอเมริกา เพลงนี้ดังไปทั่วประเทศ ทำให้คนไทยสนใจเรื่องทับหลังพระนารายณ์ กันถ้วนหน้า
สถาบันศิลปะ นครชิคาโก ได้ส่งทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ กลับคืนสู่ประเทศไทย และติดตั้งไว้ยังที่เดิมเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2531 เวลา 09.09 น.นับเป็นความสำเร็จของคนไทยทั่วประเทศที่ ร่วมกันติดตามสมบัติของชาติกลับคืนมาได้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวพนมรุ้ง ชมทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ อารยธรรมขอม
|
ภาพแกะสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ |
พระนารายณ์บรรทมสิทธุ์ (Vishnu Anantasayin) หรือ "วิษณุอนันตศายินปัทมนาภิน" แสดงภาระกิจพระวิษณุเกี่ยวกับการสร้างโลกและจักรวาล เป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตามคัมภีย์วราหะปุรณะ
พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ บรรทมตะแคงขวา บนพญาอนันตนาคราช ในเกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) พระหัตถ์ขวาหน้ารองรับพระเศียร พระหัตถ์ขวาหลังทรงถือจักร พระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงถือคทา ส่วนพระหัตถ์ซ้ายหลังทรงถือสังข์ ที่ปลายพระบาทของพระนารายณ์ เป็นภาพพระนางลักษมีชายาของพระองค์ เหนือองค์พระนารายณ์ แกะสลักเป็นรูปดอกบัวที่โผล่ขึ้นมาจากพระนาภีองค์พระนารายณ์ ภายในดอกบัวแกะสลักเป็นรูปพระพรหม สี่พักตร์ สี่กร พระหัตถ์ทั้งสี่ไม่สามารถระบุได้ว่าทรงถืออะไร ภาพทั้งหมดจัดไว้กึ่งกลางทับหลัง
ส่วนด้านซ้ายและด้านขวาของทับหลังพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ทำเป็นรูปหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย เหนือขึ้นไปเป็นรูปครุฑ ข้างครุฑเป็นภาพนกหัสดีลิงค์คาบช้าง และภาพลิงอุ้มลูก ส่วนด้านใต้หน้ากาลเป็นภาพนกแก้ว 2 ตัว การออกแบบลวดลายและการแกะสลักประณีต จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นทับหลังที่งดงามที่สุดในประเทศไทย
การบรรทมของพระนารายณ์ คือการสร้างโลก โดยกำหนดอายุของจักรวาล ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุด เรียกว่า หนึ่งกัลป์ ในหนึ่งวันของพระพรหม เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าก็จะสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ตลอดทั้งวันถึงเย็น เหตุการณ์เช่นนี้จะวนเวียนไปจนครบ 100 ปี ของพระพรหม (หนึ่งกัลป์) จากนั้นโลกทั้งสามตลอดจนเทพเจ้าต่างๆ รวมถึงพระพรหมจะถูกทำลายลง และพระพรหมองค์ใหม่ก็จะเกิดขึ้นและสร้างโลกต่อไป
ภาพจำหลักดอกบัวแปดกลีบ
เมื่อเราจะเดินผ่านประตูปราสาทประธานด้านทิศตะวันตก เราจะต้องเดินผ่าน ดอกบัวแปดกลีบ เมื่อเดินผ่านไป ก็จะถือว่าได้ชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว เพื่อไปทำพิธีสัการะได้
ปัจจุบันจะถูกครอบด้วยเหล็กสีแดง
|
ดอกบัวแปดกลีบ (ที่อยู่ในที่ครอบเหล็กสีแดง) |
ภายในตัวปราสาทประธาน
ศิวลึงค์
จะประดิษฐานอยู่ตรงกึ่งกลางของเรือนธาตุ ที่เรียกว่า "ห้องครรภคฤหะ" เป็นที่เคารพบูชาที่สำคัญที่สุด
ศิวลึงค์ เป็นเครื่องหมายของพระศิวะ มีตำนานที่หลากหลาย เช่น ในหนังสือศาสนาสากลของหลวงวิจิตรวาทการกล่าวว่า ศิวลึงค์ถือกำเนิดขึ้นมาจากการเอาใจพระแม่กาลี โดยอวัยวะเพศชายที่เป็นสิ่งแทนองค์พระศิวะนี้เป็นสัญลักษณ์ของบ่อเกิดความสมบูรณ์ของชีวิต พืช และสัตว์ต่างๆ
|
ศิวลึงค์ |
โคนนทิราช
มีอีกชื่อหนึ่ง คือ "อุศุภราช" เป็นโคเผือกเพศผู้เป็นพาหนะประจำขององค์พระศิวะ และเป็นหัวหน้าเทพบริวารของพระศิวะ มีความสำคัญอีกมากมาย จึงได้รับความนิยมในการบวงสรวง และยกย่องให้เป็นโคศักดิ์สิทธิ์ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระศิวะมหาเทพ สำหรับในประเทศไทยมีโคนนทิตั้งอยู่ที่ปราสาทหินพนมรุ้งเท่านั้น
|
โคนนทิราช |
9. ท่อโสมสูตร
คือร่องน้ำมนต์ที่ใช้รับน้ำสรงจากการสักการะศิวลึงค์ ตั้งอยู่ที่ทางเข้าประตูทิศเหนือ ของปราสาทประธาน
|
ท่อโสมสูตร |
|
ปราสาทประธาน ประดูด้านข้าทิศเหนือ |
ปราสาทประธาน ประตูด้านข้างทิศเหนือ มีท่อโสมสูตร (ด้านซ้ายของภาพ) และประตูด้านข้างทิศตะวันตก
|
ซุ้มประตูปราสาทประธานทิศเหนือ |
10. บรรณาลัย
อยู่ทางด้านหน้าของปราสาทประธาน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ อาคารสองหลังนี้สร้างด้วยศิลาแลง
มีประตูทางเข้าด้านเดียว หลังคาทำเป็นรูปประทุนเรือ ภายในไม่มีรูปเคารพ อาคารลักษณะนี้ เรียกว่า บรรณาลัย หมายถึง หอสมุดซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นสมัยสุดท้ายของการก่อสร้างปราสาทหินพนมรุ้ง
|
บรรณาลัย ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ |
|
|
บรรณาลัย ทิศตะวันออกเฉียงใต้ |
|
11. ปราสาทอิฐ 2 องค์
ทางเดินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของปราสาทประธาน มีปราสาทอิฐ 2 องค์และทิศตะวันตกเฉียงใต้
จากหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม กล่าวได้ว่า ปราสาททั้งสองหลังได้สร้างขึ้นก่อนปราสาทประธาน สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 15 เป็นสถาปัตยกรรมที่มีอายุเก่าที่สุดบนเขาพนมรุ้ง
|
ปราสาทอิฐ 2 องค์ |
จากภาพ ปราสาทอิฐ 2 องค์ อยู่ทางด้านข้างของประตูปราสาทประธานทิศตะวันออก (ด้านซ้ายของภาพ) และประตูปราสาทประธานทิศเหนือ (ด้านขวาของภาพ)
ทวารบาล
มีความหมายว่า ผู้รักษาประตู ประติมากรรมประเภททวารบาลคือ รูปของสัตว์ อสูร เทพ เทวดา และมุนษย์ หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามที่ตั้งอยู่บริเวณบานประตู ช่องผ่านเข้าออก ช่องหน้าต่าง หรือราวบันได
|
ปราสาทประธานด้านทิศตะวันใต้ มีทวารบาล |
ปราสาทประธานด้านทิศตะวันใต้ จะมีทวารบาล ที่สมบูรณ์ครบทั้งองค์ ประตูปราสาทประธานทิศตะวันออก ก็มีทวารบาล แต่ถูกทำลายเหลือเพียง แต่ส่วนเท้า 4 ข้างด้วยกัน
12. ปราสาทน้อย
ปราสาทน้อย หรือ ปรางค์น้อย สร้างปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ตรงกับศิลปะแบบบาปวน
ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทประธานทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมก่อสร้างด้วยศิลาทรายกรุผนังด้านในด้วยศิลาแลง มีประตูทางเข้าทางเดียวคือ ด้านทิศตะวันออก ภายในห้องมีแท่นฐานหินทรายสำหรับประดิษฐานรูปเคารพ หน้าบันด้านทิศตะวันออกสลักเป็นรูปพระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ อยู่ท่ามกลางลวดลายพันธุ์พฤกษา
|
ปราสาทน้อย กับทวารบาล |
พระอาทิตย์ขึ้นและตกทะลุ 15 ช่องประตู
ปรากฎการณ์ พระอาทิตย์ขึ้น และ ตกทะลุ 15 ช่องประตู จะมีกำหนดการณ์ ดังนี้
ครั้งที่ 1– พระอาทิตย์
ตก วันที่ 4-6 มีนาคม เวลาประมาณ 17.58
ครั้งที่ 2– พระอาทิตย์
ขึ้นวันที่ 1-5 เมษายน เวลาประมาณ 05.56
ครั้งที่ 3– พระอาทิตย์
ขึ้น วันที่ 8-10 กันยายน เวลาประมาณ 05.58
ครั้งที่ 4– พระอาทิตย์
ตก วันที่ 5-8 ตุลาคม เวลาประมาณ 17.53
หมายเหตุ ปรากฎการณ์ดังกล่าวเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ดังนั้นวันและเวลาดังกล่าว
อาจมีการเปลี่ยนแปลงและขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาลด้วย
|
พระอาทิตย์ขึ้นและตกทะลุ 15 ช่องประตู |
ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง
การจัดงานขึ้นเขาพนมรุ้งซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปี มักจะจัดใน
วันเสาร์-อาทิตย์ แรก ของเดือน เมษายน จะมีพิธีเปิดงานอันยิ่งใหญ่ มีพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์พนมรุ้ง ชมขบวนแห่พระนาง ภูปตินทรลักษมีเทวี พระนางจริยาและเทพพาหนะทั้งสิบ ในวันนี้พระอาทิตย์แรกแห่งอรุณจะสาดส่องทะลุผ่านประตูทั้ง 15 ช่อง ชาวบ้านจะเดินเท้าขึ้นมาเพื่อชมความอลังการที่ผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างของบรรพชน แสงอาทิตย์จะทำมุมลอดทะลุประตู ทั้ง 15 บานของปราสาทได้อย่างพอดี เป็นความมหัศจรรย์ของแสงอาทิตย์ส่องทะลุซุ้มประตู 15 บาน พร้อมกัน
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสุรินทร์ โทร. 0-44 51-4447 - 8 หรือ ที่ทำการปกครองจังหวัดบุรีรัมย์ โทร. 0-4466-6501
เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทเมื่อ 900,000 ปีมาแล้ว คำว่า พนมรุ้ง นั้น มาจากภาษาเขมร คำว่า วนํรุง แปลว่า ภูเขาใหญ่
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเขาพนมรุ้ง
เขาพนมรุ้ง เป็นภูเขารูปทรงระฆังคว่ำ มีความสูงประมาณ 200 เมตรจากพื้นราบ (ประมาณ 350 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) มีเนื้อที่ประมาณ 24 ตารางกิโลเมตร กว้าง 4 กิโลเมตร ยาว 6 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นเนินเขาอยู่โดเดี่ยวล้อมรอบด้วยที่ราบจุดสูงสุดประมาณ 383 เมตร จากระดับน้ำทะเล
รูปร่างเป็นเนินคล้ายหลังเต่า วางตัวเป็นแนวเหนือ - ใต้ มีหุบปล่องปะทุระเบิดกว้างประมาณ 800 เมตร และลึกประมาณ 60 เมตร ลักษณะเกือบกลม ที่ขอบปล่องทางทิศใต้เป็นที่ตั้งปราสาทหินพนมรุ้ง แอ่งปะทุมีน้ำขังตลอดปี เรียกว่า ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟ (Crater lake) น้ำภายในทะเลสาบจะไหลสู่หุบเขาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดเป็นลำธารที่ไหลอยู่บน ไหล๋เขาที่สูงชัน เป็นต้นกำเนิดของลำห้วยหลายสาย ไหลลงสู่ลำปะเทีย ลำชี และไหลไปรวมกับลำมาศ ลงสู่แม่น้ำมูล แม่โขงและทะเลในที่สุด
การกำเนิดและการแจกกระจายของภูเขาไฟในจังหวัดบุรีรัมย์
|
เขาพนมรุ้ง |
|
ภาพถ่ายทางอากาศ ปากปล่องภูเขาไฟพนมรุ้ง |
คำอธิบายภาพ
- ยอดเขาพนมรุ้ง ที่ตั้งปราสาทหินพนมรุ้ง (ที่เห็นในภาพเป็นรูป สี่เหลี่ยม)
- แอ่งปะทุมีน้ำขังตลอดปี เรียกว่า ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟ (Crater lake) (ที่เห็นในภาพเป็นรูปสี่เหลี่ยมสีเขียวเข็ม)
ที่จริงแล้ว เขาพนมรุ้ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปากปล่องภูเขาไฟที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยอยู่ ใจกลางของปล่องภูเขาไฟ คือ แอ่งน้ำในปัจจุบัน
ภูเขาไฟพนมรุ้ง เป็นผลจากกระบวนการแปรสัณฐานยุคเทอร์เชียรี ส่งแรงดึงกระทําต่อบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จนเกิดลาวาหลากไหลขึ้นกลางแผ่นทวีป ปิดทับหินทรายและหินทรายแป้งปนกรวดของหมวดหินโคกกรวด เมื่อเย็นตัวกลายหินบะซอลต์ชนิดฮาวายไอต์สีเทาดำ มักแสดงร่องรอยการไหลของลาวา
|
หินบะซอลต์ชนิดฮาวายไอต์สีเทาดำ |
บริเวณยอดเขาพบหินตะกรัน ภูเขาไฟ (scoria) และ หินบอมบ์ภูเขาไฟ (Bomb) หลายขนาด เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าบริเวณเป็นปากปล่องภูเขาไฟ ทางด้านขวามือของภาพ จะเห็นเป็นบึงน้ำ อันนี้คือ ใจกลางปล่องภูเขาไฟ ที่แต่เดิมจะมีแต่ลาวา ดังนั้นพื้นที่โดนรอบนี้ จะเต็มไปด้วยหินภูเขาไฟ ในลักษณะต่างๆ
|
หินตะกรัน และหินบอมบ์ภูเขาไฟ |
จากรูปจะเห็นว่าหินที่เขาพนมรุ้ง จะมีรูพรุน ซึ่งเป็นลักษณะของหินในบริเวณภูเขาไฟ
ถ้าจำแนกหินภูเขาไฟเหล่านี้ตามลักษณะโครงสร้าง สามารถจำแนกได้ดังต่อไปนี้
- พวกเนื้อแน่น (Massive Structure) ได้แก่ หินบะซอลต์เนื้อแน่น โรงโม่หินใช้บดและย่อยให้เป็นวัสดุก่อสร้าง
- พวกหินมีรูพรุน คิดเป็นร้อยละน้อยกว่า 50 โดยปริมาตร (Vesicular Structure) เช่น Vesicular Basalt ตามช่องว่างมักจะมีแร่ทุติยภูมิ (Secondary Mineral) เช่น แคลไซด์ ซีโอไลต์ หรือควอร์ต (Quartz) ตกผลึกแทรกอยู่ เรียกโครงสร้างแบบนี้ว่า Amygdaloidal Structure หินภูเขาไฟแบบนี้ จะพบในเขตใกล้ช่องประทุ
- พวกมีรูพรุนคิดเป็นร้อยละ เกิน 50 โดยปริมาตร (Scoriaceous Structure) ได้แก่ หินสกอเรีย (Scoria or Slag) ส่วนมากเป็น Scoraceous Basalt หินเหล่านี้จะพบในเขตช่องปล่องประทุและน้ำหนักเบา บางก้อนลอยน้ำได้คล้ายหินพัมมิส (Pumice) แต่หินพัมมิสไม่พบในเขตอีสานใต้
ค่าเข้าชม
ชาวไทย 20 บาท
ชาวต่างชาติ 100 บาท
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น.
สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง โทร. 0 4478 2715 โทรสาร 0 4478 2717
ปราสาทหินพนมรุ้ง อยู่ใน 2 อำเภอ คือ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และอำเภอประโคนชัย ห่างจากตัวจังหวัด ประมาณ 77 กิโลเมตร
เดินทางได้ 2 เส้นทาง
- เดินทางโดยใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 218 (บุรีรัมย์-นางรอง) ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24 (สีคิ้ว-อุบลราชธานี) ไปจนถึงหมู่บ้านตะโก ประมาณ 14 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2117 ตรงไปราว 6 กิโลเมตร ถึงบ้านตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2221 อีก 6 กิโลเมตร ก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
- เดินทางโดยใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 (บุรีรัมย์-ประโคนชัย) ระยะทางประมาณ 44 กิโลเมตร จะถึงตัวอำเภอประโคนชัย พอถึงทางแยกที่จะไปอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 21 กิโลเมตร โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 2075 และเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2117 ก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ถนนเส้นนี้ขับง่าย เป็นเส้นตรงยาว มีป้ายบอกทางเป็นระยะ ๆ จากทางที่ไปปราสาทหินพนมรุ้ง จะพบทางแยกเลี้ยวซ้ายไปปราสาทเมืองต่ำก่อน ถ้าจะเที่ยวปราสาทเมืองต่ำ ขอแนะนำให้แวะก่อนแล้วค่อยขึ้นไปพนมรุ้ง
- รถโดยสารจากกรุงเทพฯ – เขาพนมรุ้ง ลงที่เชิงเขาแล้วต่อรถสองแถวขึ้นปราสาท
- รถสายบุรีรัมย์ – นางรอง ลงสถานีนางรองแล้วต่อรถสองแถว
|
แผนที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง |
1. วิกิพีเดีย อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
2. ปราสาทหินพนมรุ้ง http://www.xn--72c5agahuwlf8dm5fb4a9d8o.com/index.php/th/
3. การจำแนกเพื่อการจัดการด้านธรณีวิทยา และทรัพยากรธรณี จังหวัดบุรีรัมย์
goodness
updated 25
/12/2014